หิรัญบัตร
หิรัญบัตรเป็นแผ่นเงินที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจารข้อความลงบนแผ่นเงิน จำนวน 4 แผ่น เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราทรงวางศิลาก่อพระฤกษ์อาคารศาล และพระราชทานนามอาคารหลังนี้ว่า "ศาลสถิตยยติธรรม " เมื่อวันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2425
กฎหมายตราสามดวง (พระไอยการลักษณโจร,พระธรรมสาตร, พิสูทดำน้ำ ลุยเพลิง,กฎมณเฑียรบาล)
ได้รับมอบจากสำนักวิชาการ สำนักงานศาลยุติธรรมซึ่งเป็นต้นฉบับที่เก้บรักษามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ทรงโปรดให้มีการตรวจชำระกฎหมายขึ้น เป็นฉบับที่ศาลหลวงได้เก้บรักษาไว้
หยิกเล็บหมายมือ
หยิกเล็บหมายมือได้รับมอบจากสำนักวิชาการ สำนักงานศาลยุติธรรม หยิกเล็บหมายมือเป็นสำนวนคำฟ้องที่ได้บันทึกไว้ เมื่อเสร็จขั้นตอนแล้วจะคัดคำให้การของจำเลยรวมไว้กับคำฟ้องของโจทก์ในสมุดไทย แล้วผูกสมุดคำฟ้องและคำให้การโดยให้โจทก์และจำเลยหยิกเล็บหมายมือไว้ เพื่อเป็นหลักฐาน โดยให้โจทก์ให้เชือก จำเลยให้ดินเหนียว เวลาจะหยิก ให้โจทก์หยิกเล็บหมายมือก่อนแล้วจำเลยหยิกตาม ถ้าจำเลยหยิกก่อนจะถูกปรับ 6400 เบี้ย
สมุดไทยดำ
ได้รับมอบสมุดไทยดำจากสำนักวิชาการ สำนักงานศาลยุติธรรม
ราชกิจจานุเบกษา เล่มแรก
ราชกิจจานุเบกษาจัดพิมพ์ครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงประกาศข่าวที่ลงตีพิมพ์ และพระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เอง เช่น การแต่งตั้งข้าราชการตามหัวเมือง รายงานดินฟ้าอากาศ การเกิดจันทรุปราคา ฯลฯ อย่างไรก็ตาม มีการดำเนินการพิมพ์เพียง 1 ปี คือ พ.ศ.2401-2402 ต่อมารัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริให้พิมพ์ราชกิจจานุเบกษาอีกครั้ง ‘เมื่อวันอาทิตย์ เดือนเจ็ด ขึ้น 2 ค่ำ ปีจอ ฉศก จุลศักราช 1236’ ตรงกับ 17 พฤษภาคม 2417
ตราดุลพาทน้อย ตราดุลพาทใหญ่
ได้รับพระราชทานในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อ พ.ศ. 2456 สำหรับประทับบนเอกสารราชการ
ฉลากงา
ได้รับมอบจากสำนักวิชาการ สำนักงานศาลยุติธรรม ทำจากงาช้าง เป็นเสมือนป้ายกำกับชื่อกฎหมายตราสามดวงแต่ละเล่ม
ตราประทับงาช้างศาลเมืองสายบุรีและศาลเมืองเลย
ตราประทับศาลเมืองเลย ได้ริบมอบจากศาลเมืองเลย / ตราประทับงานช้างเมืองสายบุรี ได้รับมอบจากสำนักงานศาลยุติธรรมประจำภาค 9 ซึ่งเป็นตราประทับที่มีขนาดเล็กที่สุด กว้าง 2 สูง 3 ซม.
ตราประทับวันที่
กระทรวงยุติธรรมมอบให้ไว้ใช้งานประจำศาล ตราประจำวันนี้ผู้พิพากษาใช้ประทับลงบนแสตมป์ฤชากรที่ใช้ชำระค่าธรรมเนียมศาล
เริ่มใช้งานเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2505 ศาลจังหวัดศรีสะเกษมอบให้
เกรียงก่อวางศิลาฤกษ์อาคารที่ทำการศาลและกระทรวงยุติธรรม
เกรียงก่อวางศิลาฤกษ์อาคารที่ทำการศาลและกระทรวงยุติธรรม (นายสมศักดิ์ แย้มผล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมนำมามอบให้)
เครื่อพิมพ์ดีดแบบไทยปัตตะโชติ
เครื่องพิมพ์ดีดเป็นเครื่องใช้สำนักงานที่ทันสมัยที่สุดชิ้นหนึ่งในยุคนั้น ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แป้นพิมพ์ไทยปัตตะโชติ (Thai Pattachote) โดยแป้นพิมพ์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นแป้นพิมพ์ 7 แถว แถวละ 12 ตัว ไม่มีปุ่มยกแคร่ หรือปุ่ม Shift เนื่องจากเป็นแป้นพิมพ์ชนิดแคร่ตาย (แคร่ไม่เลื่อน) และแป้นพิมพ์ดังกล่าวไม่สามารถใช้วิธีพิมพ์สัมผัส (Touch Typing) ได้ แป้นพิมพ์ชนิดนี้ตั้งชื่อตามนามสกุลของ นายสฤษดิ์ ปัตตะโชติ ผู้ออกแบบและคิดค้นเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถพิมพ์ได้เร็วขึ้น (ศาลจังหวัดขอนแก่นมอบให้)
กรงคัดสำนวน
กรงคัดสำนวนใช้สำหรับใส่สำนวนที่คู่ความขอคัดถ้อยคำหรือเอกสารที่อยู่ในสำนวน โดยการนำสำนวนใส่ไว้ในกรง คู่ความที่ขอตรวจหรือคัดจะใช้ไม้เขี่ยเปิดดูสำนวนทีละหน้า เพื่อป้องกันสำนวนหรือเอกสารที่อู่ในสำนวนสูญหาย
รางวัลสังข์เงิน
นายโสภณ รัตนากร ประธานศาลฎีกา ได้รับรางวัล "สังข์เงิน" ในสาขาบริการประชาชน ประจำปี 2526 ขณะที่ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม
รางวัลกิตติคุณสัมพันธ์ “สังข์เงิน” เป็นรางวัลที่สมาคมนักประชาสัมพันธ์จัดทำขึ้น เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติหน่วยงาน โครงการ และบุคคล ที่ได้ให้ความสำคัญของการประชาสัมพันธ์ และสามารถนำมาใช้ในกิจการและทำประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติและมีผลงานด้านการประชาสัมพันธ์เป็นที่ประจักษ์ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 1-2 ปี
รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2475
ครุฑ
คนไทยถือว่าครุฑเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่มีความหมายเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะไทยได้รับอิทธิพลด้านศาสนามาจากประเทศอินเดีที่ถือว่าพระมหากษัตริย์ คือ อวตารของพระนารายณ์ ครุฑเป็นสัตว์ที่มีฤทธิ์มากและเป็นพาหนะของพระนารายณ์ จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ ดังที่ได้ปรากฏอยู่ในดวงตราหรือพระราชลัญจกรประจำองค์ ประจำรัชกาล ประจำแผ่นดิน
หมายเหตุ : ศาลฎีกามอบให้
พระราชอาสน์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงประทับพระราชอาสน์บนบัลลังก์ ห้องพิจารณาหมายเลขที่ 12 ศาลอาญา ทอดพระเนตรฟังการพิจารณาคดีอาญา เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2495 (ได้รับมอบจากงานพัสดุศาลอาญา)
ชุดครุยประธานศาลฏีกา คนที่ 46 (นางเมทินี ชโลธร )
ปี 2534 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระบรมราชโองการฯ ให้ ประกาศใช้พระราชบัญญัติเสื้อครุยข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม พุทธศักราช 2 534 โดย ก าหนดให้มีเสื้อครุยข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรมขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงฐานะ ของข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม เหตุผลที่ได้มีการตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น เกิดจากในอดีตได้มี กฎหมายก าหนดให้ผู้พิพากษาหรือข้าราชการตุลาการทุกชั้นที่เป็นเนติบัณฑิตสวมเสื้อครุยเนติบัณฑิตในเวลา ขึ้นบัลลังก์พิจารณาพิพากษาคดี แต่หาได้มีกฎหมายกำหนดให้มีเสื้อครุยข้าราชการตุลาการโดยเฉพาะ และ กำหนดให้ข้าราชการตุลาการสวมเสื้อครุยดังกล่าวในเวลาขึ้นบัลลังก์พิจารณาพิพากษาคดีไม่ และโดยที่ดะโต๊ะยุติธรรมเป็นผู้มีอำนาจและหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีในพระปรมาภิไธย พระมหากษัตริย์ เช่นเดียวกับข้าราชการตุลาการ แต่ก็ยังไม่มีกฎหมายกำหนด ให้มีเสื้อครุยดะโต๊ะยุติธรรม และกำหนดให้ ดะโต๊ะยุติธรรมสวมเสื้อครุยดังกล่าว ในเวลาขึ้นบัลลังก์พิจารณาพิพากษาคดี สมควรกำหนดให้มีกฎหมาย กำหนดให้มีเสื้อครุยข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม และกำหนดให้ข้าราชการตุลาการและ ดะโต๊ะยุติธรรมสวมเสื้อครุยดังกล่าวในเวลาขึ้นบัลลังก์พิจารณาพิพากษาคดี จึงจ ำป็นต้องตรา พระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ : เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 นายภพ เอครพานิช รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรมรับมอบเสื้อครุยตุลาการศาลยุติธรรมประจำตัวของนางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกาคนที่ 46 และเป็นประธานศาลฎีกาหญิงท่านแรกของ ศาลยุติธรรม เพื่อเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ ณ พิพิธภัณฑ์ศาลไทยและหอจดหมายเหตุ
ชุดครุยผู้พิพากษา
เสื้อครุยนักกฎมาย เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยเมือ ร.ศ.116 (พ.ศ. 2440) ในสมัยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองศ์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ทรงเป้นผู้สอนวิชากฎหมายและจัดให้มีการสอบไล่วิชากฎหมายเป็นครั้งแรกในโรงเรียนกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม เมื่อมีผู้สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตจึงจะมีสิทธิสวมเสื้อครุยที่ทำด้วยผ้าหรือเสิร์จสีดำ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 พ.ศ. 2457 ชุดครุยได้เปลี่ยนเป็นผ้าโปร่งสีขาวเพื่อเป็นเกียรติยศแก่ผุ้ที่สอบไล่วิชากฎหมายชั้นเนติบัณฑิต จนถึง พ.ศ. 2468
ชุดครุยผู้พิพากษา
ปี 2479 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ มีพระบรมราชโองการฯ ให้ประกาศใช้พระราชบัญญัติเสื้อครุยเนติบัณฑิต พุทธศักราช 2479 และได้ยกเลิกเสื้อครุยเนติบัณฑิตอย่างแบบไทยให้ใช้เสื้อครุยแบบใหม่ทำด้วยผ้าหรือเสิร์จสีดำ เย็บเป็นเสื้อครุยหลังจีบยาว เหนือข้อเท้าพอประมาณ (คล้ายเสื้อดำแบบเดิมสมัยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์)
ชุดครุยโบราณ
"เสื้อครุย" เป็นเสื้อที่ใช้สวมหรือคลุมแบบเต็มยศในงานพระราชพิธีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพื่อประกอบเกียรติยศ แสดงบรรดาศักดิ์และตำแหน่งของผู้สวมใส่ ธรรมเนียมการใช้เสื้อครุยมีมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา
หมายเหตุ : นายสุรพล เฮ้งเจริญ มอบให้